EN | TH
การบริหารความเสี่ยงและสถานการณ์ฉุกเฉิน
แนวทางการดำเนินงาน
การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนแผนด้านการดำเนินงานในระยะยาวและความยืดหยุ่นขององค์กร จากสถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆในปัจจุบันและอาจจะมีขึ้นในอนาคต BDMS ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ได้คำนึงถึงความยั่งยืนทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจและดำเนินงานตามแผนเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ เป็นเครื่องมือในการบริหารงานที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้ ตลอดจนช่วยลดอุปสรรคหรือสิ่งที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในแง่ผลกำไรและการปฏิบัติงาน รวมถึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนและมีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
การกำกับดูแลความเสี่ยง
บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำกับดูแลกิจการที่ดี จึงได้กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับการบริหารความเสี่ยงองค์กรทั้งในระดับคณะกรรมการกำกับดูแลและระดับปฏิบัติงาน โดยคณะกรรมการบริษัทมีหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเพื่อพิจารณากลั่่นกรองนโยบาย กำหนดแนวทางดำเนินงาน เฝ้าระวังและติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายและขั้นตอนการบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ บริษัทยังนำหลัก Three Lines of Defense มาปรับใช้ในระดับปฎิบัติงาน โดยมีบทบาทและความรับผิดชอบ ดังนี้
คณะกรรมการกำกับดูแล | คณะกรรมการบริษัท |
|
คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง |
| |
ผู้รับผิดชอบระดับที่ 1 | หน่วยงานดูแลความเสี่ยง ได้แก่ ผู้จัดการความเสี่ยง และผู้ประสานงานความปลอดภัยของผู้ป่วย
|
|
ผู้รับผิดชอบระดับที่ 2 | ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร และ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร |
|
ผู้รับผิดชอบระดับที่ 3 | ผู้อำนวยการตรวจสอบภายในและหน่วยงานตรวจสอบภายใน |
|
แนวทางการจัดการ (Management Approach)
แนวทางการบริหารความเสี่ยง
BDMS ดำเนินการตามนโยบายการบริหารความเสี่ยง โดยคณะกรรมการบริษัทเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กรซึ่งเป็นอิสระจากสายงานดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากแต่ละสายงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณากลั่นกรองนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การรวบรวมและประเมินประเด็นความเสี่ยง กำหนดแนวทางการดำเนินงานและบูรณาการจัดการความเสี่ยงทุกกิจกรรมขององค์กร และรายงานผลแก่คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเป็นรายไตรมาส รวมทั้งกำหนดให้ประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ในกลุ่มธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับโลก (Global Trends) โครงสร้างประชากร และวิทยาการที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ BDMS ยังคงมุ่งเน้นการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก ผลักดันให้เกิดกระบวนการค้นหาเหตุการณ์ที่อาจเกิดความไม่ปลอดภัยและบริหารจัดการเพื่อป้องกันก่อนเกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วย ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากร ทั้งแพทย์ พยาบาล สหสาขาวิชาชีพต่างๆ พนักงานในองค์กรทั้งในโรงพยาบาลและในกลุ่มธุรกิจ ร่วมทำกิจกรรมคุณภาพในการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการรักษาพยาบาลและการบริการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งส่งเสริมสนับสนุนการนำนวัตกรรมคุณภาพมาใช้ในกระบวนการรักษาพยาบาลเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ป่วยสูงสุด โดยคำนึงถึงความยั่งยืน ทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล
สำหรับปี 2566 BDMS ยังมุ่งเน้นถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยด้านศัลยกรรม และสูติกรรม และเพื่อให้การบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพการดูแลหญิงตั้งครรภ์และผู้ป่วยทางนรีเวช เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันทั้งเครือบริษัทเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ จึงได้ทบทวนคณะทำงาน BDMS Safe Pregnancy and Delivery ให้ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยสูติกรรมและนรีเวช แต่งตั้งคณะทำงานความปลอดภัยด้านสูตินรีเวช BDMS Safe Pregnancy and Delivery OB and GYN Working Team เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการดูแลรักษาผู้ป่วยหญิงตั้งครรภ์และการคลอดบุตร ด้านสูตินรีเวช รวมถึงดำเนินงานพัฒนาคุณภาพ ความรู้ ความสามารถ ทักษะในการดูแลผู้ป่วย และปรับปรุงผลลัพธ์การดำเนินงานด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยหญิงตั้งครรภ์สูตินรีเวชให้เกิดความปลอดภัยทั้งมารดาและบุตรตามหลักมาตรฐานสากล
การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนแผนด้านการดำเนินงานในระยะยาวและความยืดหยุ่นขององค์กร จากสถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆในปัจจุบันและอาจจะมีขึ้นในอนาคต BDMS ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ได้คำนึงถึงความยั่งยืนทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจและดำเนินงานตามแผนเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ เป็นเครื่องมือในการบริหารงานที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้ ตลอดจนช่วยลดอุปสรรคหรือสิ่งที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในแง่ผลกำไรและการปฏิบัติงาน รวมถึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนและมีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
ปัจจัยเสี่ยงของ BDMS
จากการวิเคราะห์ความเสี่ยงในปี 2566 BDMS จำแนกปัจจัยเสี่ยงจากกระบวนดำเนินธุรกิจได้ ดังนี้
ปัจจัยเสี่ยงของ BDMS | |||
ความเสี่ยงทางคลินิกและความปลอดภัย (Clinical Risk & Quality) เกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยโรค การรักษาด้วยการทำผ่าตัดหรือหัตถการ การจัดการความเสี่ยงกลุ่มผู้ป่วยสูติกรรมที่มีความเสี่ยงสูงระหว่างตั้งครรภ์และผู้ป่วยศัลยกรรมซึ่งมีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูง | ความเสี่ยงทางระบบปฏิบัติการ (Operational Risk) มุ่งเน้นมาตรฐานการจัดการข้อมูลผู้ป่วยและ การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัวผู้ป่วย และคณะผู้ให้การรักษาพยาบาล | ความเสี่ยงด้านบุคลากร (Human Capital Risk) เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลให้เพียงพอ การพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากร การวางแผนสืบทอดตำแหน่งงานที่สำคัญ และค่าตอบแทนที่เหมาะสม | ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risk) เกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และความเสี่ยงด้านการลงทุนและงบประมาณ |
ความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Technological Risk) เกี่ยวกับระเบียบความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ความปลอดภัยของเว็บไซต์ และความเสี่ยงทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ | ความเสี่ยงทางด้านกฎหมายและกฎระเบียบ (Regulatory & Legal Risk) เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าหรือบริการออนไลน์โดยไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การขอความยินยอมก่อนทำการรักษาผ่าตัดหรือให้บริการ การต่อใบอนุญาตบริการต่างๆ การปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม และภาษีภาคอุตสาหกรรมหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
| ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (Environment and Hazard Risk) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลงหรือขาดแคลน การปล่อยมลพิษจากกระบวนการรักษพยาบาล การปนเปื้อนสารเคมี การจัดเก็บ ขนย้าย ของเสียอันตรายและของเสียติดเชื้อ การปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม | ความเสี่ยงทางด้านภาพลักษณ์ขององค์กร (Reputation Risk) เกี่ยวกับตราสินค้าขององค์กรและภาพลักษณ์ต่อสาธารณะ |
การรายงานเหตุการณ์ใน BDMS Occurrence Reporting
BDMS กำหนดระบบการรายงานเหตุการณ์ อุบัติการณ์ หรือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดำเนินการ (Occurrence Reporting) สำหรับบุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นระหว่างการดำเนินธุรกิจหรือปฏิบัติการ บุคลากรทุกคนมีหน้าที่จัดการเหตุการณ์ดังกล่าวโดยทันทีและต้องรายงานเหตุการณ์ตามช่องทางที่กำหนดในรูปแบบออนไลน์หรือรูปแบบปกติภายใน 8 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุการณ์เพื่อดำเนินการสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามระดับผลกระทบของเหตุการณ์ ซึ่งจำแนกเป็นด้านคลินิกและด้านอื่น ๆ ดังนี้
การรายงานเหตุการณ์ที่ระดับผลกระทบแตกต่างกันจะผ่านกระบวนการสืบสวนภายในที่แตกต่างกันและทำการรายงานให้แก่ผู้บริหารเป็นรายเดือนและรายไตรมาส
ความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลางเท่านั้น (คะแนนความเสี่ยงต่ำกว่าหรือเท่ากับ 0 ให้ถือว่ายอมรับได้และขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของแต่ละโรงพยาบาล)
ระดับความเสี่ยง | คำอธิบาย |
น้อย | ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ด้วยวิธีควบคุมตามกระบวนการทำงานปกติ และควรติดตามระดับความเสี่ยงระหว่างการดำเนินงานเป็นประจำ |
ปานกลาง | ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้แต่ต้องพยายามควบคุมโดยกำหนดมาตรการเพื่อจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายใน 1 ปีงบประมาณ |
สูง | ระดับความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ จำเป็นต้องจัดหามาตรการเพื่อจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและลดระดับความเสี่ยงให้เป็นระดับปานกลางและต่ำภายใน 6 เดือน |
สูงมาก | ระดับความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ จำเป็นต้องเร่งจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับปานกลางและต่ำทันที |
การตรวจสอบกระบวนการบริหารความเสี่ยง
การตรวจสอบภายใน
คณะกรรมการตรวจสอบมีบทบาทและความรับผิดชอบในการกำกับดูแลให้บริษัทบริหารจัดการความเสี่ยงและวางแผนระบบควบคุมที่เหมาะสมครอบคลุมทั้งองค์กร พร้อมเสนอแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีหน้าที่มอบหมายให้ทีมผู้ตรวจสอบภายในวางแผนการตรวจสอบประจำปีของบริษัท ซึ่งกระบวนการตรวจสอบภายในของ BDMS นั้นเป็นไปตามมาตรฐานสากลการปฏิบัติงานวิชาชีพการตรวจสอบภายใน (International Professional Practices Framework: IPPF) จัดทำโดยสมาคมผู้ตรวจสอบภายใน แผนการตรวจสอบภายในครอบคลุมหัวข้อประสิทธิภาพของระบบควบคุม และกระบวนการที่พึ่งพาและไม่พึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาลในเครือ BDMS และบริษัทย่อย การตรวจสอบภายในของแต่ละโครงการจะทบทวนประสิทธิภาพของกระบวนการบริหารความเสี่ยงเพื่อประเมินประสิทธิภาพการควบคุมและจัดสรรมาตรการลดความเสี่ยง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามมาตรฐาน ISO 27001 และข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลปีพ.ศ. 2555 โดยในปี 2566 การตรวจสอบภายในของแต่ละโครงการครอบคลุมประเด็นด้านงานบริการจากบุคคากรภายนอก อุปกรณ์การแพทย์ การจัดซื้อจัดจ้าง ทรัพยากรบุคคล การดำเนินงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
การตรวจสอบภายนอก
นอกจากนี้ ในปี 2566 BDMS กำหนดให้ผู้ตรวจสอบภายนอกดำเนินการตรวจสอบกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้ในนโยบาย ขั้นตอนการทำงานที่เกี่ยวกับระบบ/การเข้าถึงข้อมูล ประสิทธิภาพของระบบการดำเนินงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบควบคุมข้อมูลบริษัท และระบบควบคุมบัญชีภายใน
กระบวนการตรวจสอบภายในที่ครอบคลุมกระบวนการบริหารความเสี่ยงมีรายละเอียดดังนี้
BDMS ได้เผยแพร่การประเมินความเสี่ยง 2 รายการตามขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงองค์กร โดยแสดงข้อมูลอธิบายความเสี่ยง ประเภทของความเสี่ยง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และมาตรการลดความเสี่ยง ดังนี้
วัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง
โครงการจัดการความเสี่ยงทั่วไปสำหรับคณะกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร
คณะกรรมการบริษัท BDMS เข้าร่วมโครงการการฝึกอบรมเรื่องการจัดการความเสี่ยงสำหรับผู้นำองค์กร จัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) โดยมีวัตถุประสงค์ให้คณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการความเสี่ยง และกลุ่มผู้บริหารระดับสูง เข้าใจบทบาทของตนในการตรวจสอบความเสี่ยงประเภทต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการบริหารโอกาสและธุรกิจในภาวะวิกฤต ผ่านการเรียนรู้จากมุมมองของผู้นำองค์กรที่กำกับดูแลกลุ่มผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงด้านการบริหารเสี่ยง
การบูรณาการวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรตามหลักการจัดการความเสี่ยง
BDMS ส่งเสริมความรับผิดชอบและการจัดการความเสี่ยงเชิงรุก โดยสนับสนุนให้พนักงานมีความสามารถในการระบุและแก้ไขความเสี่ยงสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงจัดการฝึกอบรมและเฝ้นหากิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในการจัดการความเสี่ยงให้แก่พนักงาน ดังต่อไปนี้
โครงการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยของ BDMS
ในปี 2566 บริษัท BDMS ริเริ่มโครงการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยเพื่อเสริมสร้างคุณภาพการบริการและความปลอดภัยภายในองค์กร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของพนักงานและส่งเสริมให้มีการรายงานความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานผ่านระบบการรายงาน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ป่วย พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสีย พร้อมส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากเหตุการณ์ ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ และขยายมาตรการป้องกันครอบคลุมโรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยสนับสนุนการป้องกันเชิงรุกตลอดขั้นตอนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โครงการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยของ BDMS ที่ให้รางวัลแก่พนักงานที่มีส่วนร่วมมี 2 โครงการ มีดังนี้
- STOP THE LINE for Safety: มุ่งสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร รวมถึงสื่อสารนโยบายและแนวทางการปฏิบัติด้านความปลอดภัยเชิงรุก โดยสนับสนุนให้พนักงานหรือแพทย์รายงานทันที เมื่อพบเหตุการณ์หรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย เช่น ความปลอดภัยด้านคลินิก ความปลอดภัยของข้อมูล ความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สิทธิมนุษยชน ความโปร่งใสในการดำเนินงาน หรือการกระทำที่รุนแรงหรือล่วงละเมิด ผู้รับรายงานจะต้องตั้งใจฟังอย่างไม่มีอคติ และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบเพื่อแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่จะให้บริการต่อ
- BDMS ERMA 2023: มอบรางวัลเพื่อยกย่องชมเชยบุคลากรและกลุ่มโรงพยาบาลในเครือ ที่มุ่งมั่นสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่โดดเด่น ด้วยการมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญเพื่อวางแผนมาตรการลดความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและส่งเสริมคุณภาพการบริการและความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย
“หลักสูตร BDMS Risk Management Certification Program”
ปี 2566 BDMS จัดหลักสูตร “BDMS Risk Management Certification Program” รุ่นที่ 1 เป็นการฝึกอบรมในรูแบบของการบรรยายและฝึกเรียนรู้จากสถานการณ์จำลองเสมือนจริง (Simulation) ผ่านระบบ On line และ On site รวมจำนวน 38 ชั่วโมง โดยกำหนดเป็นหลักสูตรสำหรับผู้ประสานงานด้านความปลอดภัยผู้ป่วยและผู้ที่มีหน้าที่บริหารจัดการข้อร้องเรียนต่าง ๆ ในองค์กร สำหรับหลักสูตรดังกล่าวแบ่งเป็นการศึกษาภาคทฤษฎี จำนวน 15 หัวข้อ เช่น ระบบบริหารจัดการความเสี่ยง ระบบคุณภาพโรงพยาบาล การบริหารจัดการข้อร้องเรียนและเหตุการณ์ร้ายแรง และ วัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร เป็นต้น ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถ แล้วจึงต่อด้วยการฝึกภาคปฏิบัติเพื่อเป็นการในความรู้ทางทฤษฎีต่างๆมาฝึกใช้ใน Workshop และ สถานการณ์จำลอง เช่น การฝึกใช้เครื่องมือการค้นหาสาเหตุรากของปัญหา และ การฝึกทักษะการบริหารจัดการข้อร้องเรียนต่าง ๆ ซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนในสถานการณ์สมมติ จำนวน 2 สถานการณ์ที่แตกต่างกัน
การฝึกอบรมการบริหารจัดการความเสี่ยงภาคบังคับ
BDMS ตระหนักถึงความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องทางการแพทย์ที่มักเกิดจากการสื่อสารผิดพลาดระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ป่วย จึงกำหนดนโยบายให้มีการฝึกอบรมการบริหารจัดการความเสี่ยงภาคบังคับแก่พนักงานทุกคนในองค์กร ในปีพ.ศ. 2566 หนึ่งในหลักสูตรภาคบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการความเสี่ยง คือ กระบวนการขอความยินยอม (Informed Consent) ซึ่งมีจุดประสงค์ให้พนักงานเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสื่อสารผิดพลาดระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ป่วย หลักสูตรนี้กล่าวถึงความสำคัญของการแจ้งข้อมูลแก่ผู้ป่วยอย่างชัดเจนและครบถ้วน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลรอบด้านก่อนที่จะให้ความยินยอมรับการรักษา นอกจากนี้ยังอธิบายการจัดการสถานการณ์ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ให้คำยินยอมในการรักษาและการดำเนินการที่เหมาะสมในกรณีฉุกเฉินเมื่อผู้ป่วยอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถให้ความยินยอมได้ หลักสูตรกระบวนการขอความยินยอมนี้ มีผู้เข้าร่วมอบรมทั้งสิ้น 31,465 คน และผ่านการทดสอบถึงร้อยละ 72 ของพนักงานที่เข้าร่วมทั้งหมด
นอกจากนี้ BDMS ยังกำหนดให้แพทย์และทันตแพทย์เข้ารับการอบรมในหลักสููตรภาคบังคับอื่น ๆ ทั้งหมด 5 หลักสูตร ได้แก่
- หลักสูตรธรรมนููญองค์กรแพทย์ (BDMS Bylaws)
- หลักสูตรลักษณะพฤติกรรมของแพทย์ (Code of Behavior)
- หลักสูตรกระบวนการขอความยินยอม (Informed Consent)
- หลักสูตร Legal Issues in Insured Patient Administration for Physicians
- หลักสูตรคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับแพทย์ (BDMS PDPA Awareness Training for BDMS Physician)
หลักสูตรภาคบังคับเหล่านี้ครอบคลุมหัวข้อจรรยาบรรณและแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับแพทย์และทันตแพทย์ รวมถึงพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กระบวนการขอความยินยอม และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์ให้แพทย์ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้ป่วย พร้อมทั้งสื่อสารและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามธรรมนูญองค์กรแพทย์ หลักสูตรดังกล่าวถือเป็นหลักสูตรภาคบังคับสำหรับแพทย์และทันตแพทย์ในเครือ BDMS โดยสามารถเข้าฝึกอบรมผ่านแอปพลิเคชัน BDMS MSO Training
กระบวนการจัดการความเสี่ยงในขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของ BDMS
BDMS ประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ตามหลัก Failure Mode and Effects Analysis (FMEA) โดยวิเคราะห์จากขั้นตอนพื้นฐานในการดำเนินงานจากบุคลากรในสาขาที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ตัวแทนจากหน่วยงานด้านคุณภาพมีหน้าที่วิเคราะห์ข้อบกพร่องและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการติดตามผลต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 4 เดือน พร้อมรายงานผลต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องทุกไตรมาสตามขั้นตอนต่อไปนี้
ตัวชี้วัดการจัดการความเสี่ยงด้วยรางวัลจูงใจ
BDMS รวมตัวชี้วัดการจัดการความเสี่ยงในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงผู้บริหารระดับสูง การบูรณาการเชิงกลยุทธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและความพยายามในการลดความเสี่ยงตลอดทั้งองค์กร โดยกำหนดดัชนีชี้วัดผลงาน (KPI) ด้านการจัดการความเสี่ยงสำหรับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้อำนวยการโรงพยาบาล และมอบรางวัลจูงใจให้แก่ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จตามเกณฑ์ชี้วัดผลงานด้านการจัดการความเสี่ยง ในหัวข้อรายจ่ายที่เกิดจากการบริการคุณภาพต่ำ ความสามารถในการจัดการเหตุการณ์สำคัญ และความสำเร็จตามเกณฑ์การบริหารทรัพยากรสุขภาพ (Utilization Management: UM)
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่
A. ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศไทย
ประวัติความเป็นมา
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนับเป็นภัยคุกคามต่อทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ด้วยเหตุนี้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Department of Climate Change and Environment: DCCE) และโครงการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่ง (Coastal and Marine Biodiversity: CCMB) จึงร่วมกันร่างกฎหมายสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศไทย หรือพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับร่าง) ขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเสนอแก่คณะรัฐมนตรีภายในกลางปี 2567 และมีผลบังคับใช้ภายในเวลา 3-5 ปี เพื่อนำประเทศไปสู่เป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 นอกจากนี้ พระราชบัญญัติ (ฉบับร่าง) ยังมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันประเทศไทยให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติระดับสากล พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับร่าง) นำเสนอมาตราการ ดังต่อไปนี้
1. การจัดทำบัญชีคาร์บอน (GHG) : บังคับให้ภาคเอกชนรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และได้รับการตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอกเป็นประจำทุกปีเพื่อรับรองผลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) และประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP)
2. การจัดตั้งกองทุน Climate Change Fund: รวบรวมการสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อขยายขอบเขตโครงการของรัฐบาลในปัจจุบัน เช่น การยกเว้นภาษีโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าจากกรมสรรพสามิต และการสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนผ่านกองทุนพัฒนาไฟฟ้า
3. กลไกการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก: จัดทำระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) และภาษีคาร์บอน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนตามภาคส่วนต่าง ๆ
ผลกระทบหลักที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงและมาตรการลดความเสี่ยง
การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ BDMS อาทิ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการบังคับใช้มาตราการภาษีคาร์บอน การสูญเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการแก้ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศและการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ องค์กรอาจต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทางกฎหมายที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสภาพภูมิอากาศที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ หากเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเภทที่ 1, 2 และ 3 ไม่ครบถ้วนและไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งเป้าไว้ อาจส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าปรับ และส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบริษัท ทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นของสาธารณชนและนักลงทุน และกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและเสียโอกาสการลงทุนในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ BDMS จึงวางแผนมาตรการลดความเสี่ยง ดังต่อไปนี้
1. มุ่งมั่นปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เหนือเป้าหมายประเทศ: BDMS ประกาศที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ด้วย BDMS Green Healthcare
2. BDMS สนับสนุนการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยความโปร่งใสในโดยดำเนินการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมในประเภทที่ 3 และวางแผนที่จะพัฒนาการรายงานตามมาตรฐาน IFRS S2 ภายในปี 2569
3. BDMS วางมาตรการเพื่อผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำด้วยพลังงานหมุนเวียน เช่น การตั้งเป้าให้กลุ่มโรงพยาบาลเครือข่ายและบริษัทในเครือทั้งหมดใช้พลังงานหมุนเวียน 100% โดยในปี 2593 อัตราส่วนพลังงานหมุนเวียนคาดว่าจะอยู่ที่ 30% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ควบคู่ไปกับการจัดหาใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC)
4. BDMS วางแผนจัดตั้งเครือข่ายเพื่อการพัฒนาธุรกิจทางการรักษาพยาบาลอย่างยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2573
B. ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่จากการใช้ทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ และ AI ในการดูแลสุขภาพ
งานวิจัยเผยว่าประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรบุคลากรที่มีทักษะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงแนวโน้มความเติบโตในการพัฒนาทักษะอาชีพที่ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมที่เกิดจากการบูรณาการเทคโนโลยี AI ในปี 2565 รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนการส่งเสริมการใช้ AI ในอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ฉบับร่าง) ซึ่งครอบคลุมระยะเวลา 6 ปีตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2570 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรลุ 3 เป้าหมายหลัก (1) พัฒนาบุคลากรภาคธุรกิจและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย (2) ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ (3) สร้างผลกระทบเชิงบวกสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยแผนปฏิบัตินี้มุ่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์และการดูแลสุขภาพ รัฐบาลได้วางแผนการสนับสนุนผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การเตรียมความพร้อมในด้านสังคม จริยธรรม กฏหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ AI การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนา AI การส่งเสริมศักยภาพบุคลากรให้ตรงกับความต้องการในอนาคต และการส่งเสริมการใช้ AI ในภาคเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการแข่งขัน นอกจากนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยังพิจารณายกเว้นภาษีให้แก่บริษัทที่ลงทุนในงานวิจัยด้าน AI/ เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาบุคลากรและทักษะด้าน AI รูปแบบการทำงานในอนาคต (Future of Work) และนวัตกรรมทางสังคม
ความเสี่ยงสำคัญที่อาจเกิดขึ้นและมาตรการบรรเทาผลกระทบ
BDMS นับเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (การแพทย์และการดูแลสุขภาพ) ตามยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ฉบับร่าง) ดังนั้นความล้มเหลวในการปฎิบัติตามยุทธศาสตร์แห่งชาติด้าน AI ภายในระยะเวลา 3 ปีอาจก่อให้เกิดปัญญาความขาดแคลนบุคลากรทักษะขั้นสูงด้าน AI ซึ่งจะขัดขวางการเติบโตเชิงนวัตกรรมขององค์กรและการพัฒนาอุตสาหกรรม ส่งผลให้สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน การไม่ปรับใช้เทคโนโลยี AI ส่งผลให้เกิดความล้าหลังต่อองค์กรในกลุ่มธุรกิจเดียวกันและส่งผลให้ประสิทธิภาพการวินิจฉัยลดลง ความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยี AI ในศัลยกรรมและการรักษาเช่น การพัฒนานวัตกรรมระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการคัดกรองโรคทรวงอกจากภาพรังสี หากล้มเหลว อาจนำสู่การขาดทุนและเสียส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับการคัดกรองโรคทรวงอกจากภาพรังสี ที่สามารถสร้างรายได้ประมาณการ27.5 ล้านบาท การไม่ปรับตัวเพื่อสอดรับกับการใช้เทคโนโลยี AI อาจนำให้องค์กรต้องเผชิญกับความเสี่ยง อันเนื่องจากการพลาดโอกาสในสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาทักษะด้าน AI ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน AI ที่จะบังคับใช้ (ภายใน 3-5 ปี) ยังก่อให้เกิดความท้าทายทางกฎหมายและความเสียหายต่อชื่อเสียงได้ ในขณะที่ความผิดพลาดด้านจริยธรรมของการใช้ AI อาจลดความเชื่อมั่นของผู้ป่วย
BDMS ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี AI ดังกล่าว จึงวางแผนบรรเทาความเสี่ยงโดยการบูรณาการ AI ในงานบริการด้านการดูแลสุขภาพ และดำเนินการเชิงรุกในด้านต่างๆ ดังนี้
1. การประยุกต์ใช้ AI ทางการแพทย์และความร่วมมือ
- BDMS ลงทุนใน CARIVA ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำด้านการพัฒนา AI ทางการแพทย์ของ Medical Large Language Models (Medical LLMs) โดยตั้งเป้ายกระดับความสามารถทางการแพทย์ของประเทศไทยโดยใช้ AI ตีความและวิเคราะห์ผลตรวจจากห้องปฎิบัติการ ตรวจสอบข้อมูลเพื่อปรับปรุงการบริการ ลดกระบวนการทำงาน และติดตามผลการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อบริการการรักษาที่ยั่งยืน
- ในปี 2566 BDMS ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 1.5 พันล้านบาทในการลงทุนระดับ Serie A ในบริษัทสตาร์ทอัพไทย การลงทุนนี้นำไปสู่การเปิดตัวโครงการหลายแห่ง เช่น โครงการ Perceptra ซึ่งใช้ AI ในการอ่านผลเอ็กซ์เรย์สำหรับนักรังสีการแพทย์ แอปพลิเคชัน OOCA ที่เปิดพื้นที่ปรึกษาออนไลน์กับจิตแพทย์และนักจิตวิทยา และแอปพลิเคชัน “BeDee” ที่ให้บริการ Tele-health, Tele-pharmacy, Tele-medicine และอุปกรณ์การแพทย์ (Health Mall) พร้อมคัดสรรความรู้ด้านสุขภาพแก่ผู้รับบริการ
2. ตัวอย่างการใช้ AI ใน BDMS:
1. AI Symptom checker: BDMS ได้เปิดตัว AI Symptom Checker ผ่าน AI Chatbot ชื่อ Ally ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถประเมินอาการของตนเองได้ เทคโนโนยีนี้ช่วยให้ BDMS ลดเวลาที่ต้องใช้ในการสอบถามอาการ นอกจากนี้ยังช่วยรวบรวมประมวลผลข้อมูลผู้ป่วยเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป
2. BDMS Digital Front Door: ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ BDMS ได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในระบบลงทะเบียนและรอคิว ผู้ป่วยของ BDMS สามารถใช้ AI เพื่อลงทะเบียนด้วยตนเอง จัดการคิวและประกันภัย ทั้งนี้ AI จะวิเคราะห์ประวัติทางการแพทย์ ซึ่งช่วยลดเวลาที่ผู้ป่วยใช้ในกระบวนการเหล่านี้ได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิม ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดของมนุษย์ ลดการใช้กระดาษและภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์
3. BDMS Teleradiology: BDMS พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ชื่อ Inspectra CXR เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยเอ็กซ์เรย์ทรวงอก ซึ่งช่วยให้การวินิจฉัยมีประสิทธิภาพสูงและแม่นยำมากขึ้น โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีในการวินิจฉัยแต่ละครั้ง เมื่อเทียบกับเวลาเฉลี่ยที่ 16.56 นาทีโดยนักรังสีวิทยา เทคโนโลยีนี้ช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ลง 70% และให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำผ่าน Abnormality Score และ Heatmap นอกจากนี้ยังตั้งเป้าลดเวลาในการอ่านเฉลี่ยต่อครั้งลงถึง 50% ช่วยลดกระบวนการวินิจฉัยและลดเวลาตอบกลับของรายงานการตรวจสุขภาพลงถึง 10 เท่า
4. BDMS AI Lab Interpretation: BDMS ใช้ AI ตีความข้อมูลตรวจสุขภาพในรูปแบบ Infographics เพื่อยกระดับประสบการณ์การได้รับบริการของผู้ป่วย
5. AI interpretation: BDMS เปิดตัวแชทบอท AI เพื่อแก้ไขปัญหากำแพงภาษา เพิ่มประสิทธิภาพในการแปลสื่อสาร โดยปรับใช้ในการตรวจสุขภาพถึง 14 ขั้นตอน
6. BDMS Automated Speech Recognition: ระบบจดจำเสียงภาษาอังกฤษและไทยด้วย AI ในการบันทึกข้อมูล เพื่อลดข้อผิดพลาดในการจัดทำเอกสารทางการแพทย์
7. Happy Bot BDMS ได้บริหารจัดการนำ “Happy Bot” รับหน้าที่การกระจายยาภายในโรงพยาบาล เพื่อเพิ่มความมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาดจากการทำงานมนุษย์ให้ลดลง และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อด้วยเนื่องจากหุ่นยนต์สามารถทำงานเพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับมนุษย์
การส่งเสริมศักยภาพ Upskill ทรัพยากรในการนำเทคโนโลยี AI และการนำมาใช้งานในงานสาธารณสุขทางการแพทย์ "Generative AI Hybrid Learning 2023 ของกลุ่มโรงพยาบาลพญาไท และ กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล. ในปี 2566, BDMS ได้พัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมภายในชื่อ "Generative AI Hybrid Learning 2023" สำหรับผู้อำนวยการ ผู้จัดการ และพนักงานทั้งหมด โดยโปรแกรมนี้เน้นการใช้ AI และการประยุกต์ใช้งานในด้านการดูแลสุขภาพ โปรแกรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถของพนักงานให้มีศักยภาพในด้านใหม่ๆและดึงดูดพนักงานใหม่ที่มีความสามารถ (New Talent) ที่มีความเชี่ยวชาญใน AI และสามารถส่งมอบงานและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า การส่งเสริมวัฒนธรรมของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและงานด้านนวัตกรรม บริษัทสามารถสร้างกลุ่มผู้ทำงานที่มีความรู้ความสามารถที่ดีในการจัดการด้านเทคโนโลยี AI และปรับตัวเข้ากับความก้าวหน้าในอนาคต